ข้อมูลท่องเที่ยว
อุทัยธานี |
วัดสังกัสรัตนคีรี
วัดสังกัสรัตนคีรี
ตั้งอยู่เชิงเขาสะแกกรัง
สุดถนนท่าช้าง
ในเขตเทศบาลเมือง
ภายในวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมงคลศักดิ์สิทธิ์
ซึ่งเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองอุทัยธานี
มีประวัติว่าในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ
ให้นำพระพุทธรูปขนาดย่อมที่ชำรุดไปไว้ตามหัวเมืองต่างๆ
สำหรับเมืองอุทัยธานีได้รับ
๓ องค์
โดยอัญเชิญลงแพมาขึ้นฝั่งที่ท่าพระ
(ตรงข้ามศาลาประชาคมจังหวัดอุทัยธานี)
แล้วนำมาประดิษฐานไว้ที่วัดขวิด
พระพุทธรูปองค์หนึ่งมีขนาดใหญ่เป็นพระเนื้อสำริดปางมารวิชัย
หน้าตักกว้าง ๓ ศอก
สร้างในสมัยพระเจ้าลิไท
ฝีมือช่างสุโขทัยยุค
๒
มีส่วนเศียรกับส่วนองค์พระเป็นคนละองค์
เข้าใจว่าคงซ่อมเป็นองค์เดียวกันก่อนนำมาไว้ที่เมืองอุทัยธานี
ต่อมาเมื่อยุบวัดขวิดไปรวมกับวัดทุ่งแก้ว
จึงได้ย้ายพระพุทธรูปองค์นี้ไปไว้ที่วัดสังกัสรัตนคีรี
ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองไป
๑ กิโลเมตร
และได้ทำพิธีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ในพระเศียร
พร้อมกับถวายนามว่า
พระพุทธมงคลศักดิ์สิทธิ์
ในวันแรม ๑
ค่ำเดือน ๑๑
ของทุกปีจะมีประเพณีตักบาตรเทโว
โดยพระสงฆ์ประมาณ
๕๐๐
รูปจะเดินลงบันไดจากยอดเขาสะแกกรังมารับบิณฑบาตที่ลานวัดเป็นประเพณีที่สำคัญของจังหวัด
|
เขาสะแกกรัง
เขาสะแกกรัง
จากบริเวณลานวัดสังกัสรัตนคีรีมีบันไดขึ้นไปสู่ยอดเขาสะแกกรัง
หรือใช้ทางหลวงหมายเลข
๓๒๒๐ เป็นระยะทาง ๔
กิโลเมตร
แล้วเลี้ยวบริเวณสนามกีฬาจังหวัดไปตามทางขึ้นสู่ยอดเขา
จากบนยอดเขาสามารถมองเห็นทิวทัศน์เมืองอุทัยธานีได้กว้างขวาง
เป็นที่ตั้งของมณฑปประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลอง
ซึ่งย้ายมาจากวัดจันทาราม
สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๘
ด้านหน้ามีระฆังใบใหญ่ที่พระปลัดใจและชาวอุทัยธานีร่วมกันสร้างเมื่อ
พ.ศ. ๒๔๔๓
ถือกันว่าเป็นระฆังศักดิ์สิทธิ์
ใครที่ไปเที่ยวอุทัยธานีแล้วไม่ได้ขึ้นไปตีระฆังใบนี้ก็เท่ากับไม่ได้ไปเที่ยวอุทัยธานี
ใกล้กับมณฑปบนยอดเขาสะแกกรังมีพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระปฐมบรมมหาชนกนาถ
แห่งรัชกาลที่ ๑
ซึ่งมีพระนามเดิมว่านายทองดี
รับราชการตำแหน่งพระอักษรสุนทรศาสตร์
เสมียนตรากรมมหาดไทย
และต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นเจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์
ครั้นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี
(พระนามเดิมนายทองด้วง)
ได้สถาปนาพระอัฐิพระบิดาเป็นสมเด็จพระชนกาธิบดี
เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๓๘
|
พระบรมรูปของสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนกนาถ
พระบรมรูปของสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนกนาถ
เป็นรูปหล่อขนาดสองเท่าขององค์จริงประทับนั่งบนแท่นพระหัตถ์ซ้ายถือดาบประจำตำแหน่งเจ้าพระยาจักรี
ทั้งฝักวางบนพระเพลาซ้าย
และทรงวางพระหัตถ์ขวาบนพระเพลาขวา
ด้านขวามือมีพานวางพระมาลาเส้าสูง
ไม่มียี่ก่า (ขนนก)
สวมพระบาทด้วยรองเท้าแตะไม่หุ้มส้นพระบาท
มีพิธีถวายสักการะพระราชานุสาวรีย์แห่งนี้
ในวันที่ ๖ เมษายน
ของทุกปี
ซึ่งตรงกับช่วงที่ดอกสุพรรณิการ์
หรือฝ้ายคำ
ดอกไม้ประจำจังหวัดอุทัยธานีบานสะพรั่งอยู่ทั่วไปบนเขาสะแกกรัง
เลยพระราชานุสาวรีย์ไปทางป่าหลังเขา
ประมาณ ๒๐๐ เมตร จะพบ
หมุดแผนที่โลก
ซึ่งใช้ในการสำรวจแผนที่
สร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.
๒๔๗๕
|
วัดมณีสถิตย์กปิฏฐาราม
วัดมณีสถิตย์กปิฏฐาราม
ตั้งอยู่ที่ถนนสุนทรสถิตย์หลังสวนสุขภาพ
ตรงวงเวียนหอนาฬิกา
เป็นวัดที่สร้างในสมัยรัตนโกสินทร์
ชาวเมืองเรียกกันว่าวัดทุ่งแก้ว
ในวัดนี้มีพระปรางค์ใหญ่อยู่องค์หนึ่ง
ฐานกว้าง ๘ เมตรสูง ๑๖
เมตร
ลักษณะเป็นปรางค์ห้ายอด
สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๒
ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
และเป็นที่ประดิษฐานรูปหล่อหลวงพ่อแย้มผู้สร้างวัดนี้
บริเวณวัดมีสระน้ำก่ออิฐเป็นสระน้ำมนต์ขนาดใหญ่
กลางสระมีแผ่นศิลาอักขระยันต์ของหลวงพ่อแย้มฝังเอาไว้
น้ำในสระแห่งนี้เคยใช้เป็นน้ำสรงพุทธาภิเษกในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ ๖
และรัชกาลที่ ๗
|
วัดธรรมโฆษก

วัดธรรมโฆษก
(วัดโรงโค) เป็นวัดที่สร้างในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์
ตั้งอยู่ที่ถนนศรีอุทัย
ตำบลอุทัยใหม่ใกล้กับตลาดเทศบาล
เคยใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีถือน้ำพิพัฒนสัตยาของข้าราชการเมืองอุทัยธานี
และเป็นลานประหารนักโทษ
โบสถ์ของวัดนี้เป็นโบสถ์สมัยรัตนโกสินทร์
ภายในโบสถ์มีภาพจิตรกรรมฝาผนังฝีมืองดงามจัดว่าสวยงามที่สุดในอุทัยธานี
สันนิษฐานว่าเป็นฝีมือช่างสมัยอยุธยาตอนปลายที่ยังมีชีวิตอยู่ถึงสมัยรัตนโกสินทร์
จิตรกรรมฝาผนังเป็นภาพพุทธประวัติตอนเสด็จลงจากดาวดึงส์
และตอนผจญมาร
ผนังข้างด้านบนเป็นภาพเทพชุมนุมสลับกับพัดยศ
กรอบหน้าต่างด้านนอกเป็นลายปูนปั้นเป็นฝีมือพองาม
สำหรับวิหารสร้างยกพื้นสูงกว่าโบสถ์
หน้าบันเป็นรูปช้างสามเศียร
ภายในมีแท่นสำหรับประดิษฐานพระพุทธรูปซึ่งมีอยู่ประมาณ
๒๐ องค์
จัดเรียงอย่างมีระเบียบ
บนหน้าต่างด้านนอกมีลายปูนปั้นเป็นเรื่องรามเกียรติ์ประดับเป็นกรอบ
ประตูวิหารเป็นไม้จำหลักลายดอกไม้ทาสีแดงงดงามมาก
โบสถ์และวิหารมีพระปรางค์และเจดีย์เรียงรายอยู่
๒-๓ องค์
กำแพงรอบโบสถ์ของวัดนี้ก่อต่อกับฐานวิหารเพราะมีพื้นสูงกว่า
ประตูเข้ากำแพงทำเป็นซุ้มแบบจีน
และด้านหลังโบสถ์มีซุ้มสำหรับประดิษฐานพระพุทธรูปด้วย
เช่นเดียวกับด้านหน้ามีกุฏิเล็กอยู่ติดกับกำแพงโบสถ์
ซึ่งเป็นฝีมือช่างสมัยอยุธยา
ส่วนบานประตูวัดเป็นศิลปะการแกะสลักฝีมือช่างในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
แกะเป็นลายดอกไม้ประกอบใบกระจังต่อก้านสลับดอกเรียงเป็นแถวสวยงามมาก
พื้นในเป็นสีแดงเข้าใจว่าเดิมคงลงสีทองบนตัวลายไว้
สำหรับบานหน้าต่างแกะเป็นลวดลายเดียวกัน
ปกติโบสถ์จะปิดหากต้องการชมควรแจ้งไปก่อนที่
โทร. (๐๕๖)๕๑๑๔๕๐
ปัจจุบันวัดธรรมโฆษกได้รับการจดทะเบียนเป็นโบราณสถานแล้ว
|
ลำน้ำสะแกกรัง
ลำน้ำสะแกกรัง
ไหลผ่านตัวจังหวัดอุทัยธานี
มีเรื่องเล่าต่อกันมาว่า
ในสมัยก่อน
เมื่อพ่อค้าล่องเรือผ่านมา
จะรู้ได้ว่าถึงบ้านสะแกกรังแล้ว
โดยเฉพาะในเดือนยี่ถึงเดือนสามจะสังเกตได้ชัดเจน
ต้นสะแกจะออกดอกเล็ก
ๆ
ช่อยาวสีเขียวอมเหลืองห้อยลงมาริมน้ำ
บริเวณสองฝั่งแม่น้ำจะมีเรือนแพอยู่เรียงราย
ฝั่งแม่น้ำด้านตะวันตกมีอาคารบ้านเรือนอยู่หนาแน่น
เป็นตลาดใหญ่ของที่มาขายที่ตลาดนั้น
ทั้งข้าวสารซึ่งวางขายอยู่ในกระบุง
อาหารคาวหวาน
ส่วนใหญ่ชาวบ้านจะปลูกเองทำเอง
และนำมาขาย
ส่วนฝั่งแม่น้ำด้านตะวันออกเป็นเกาะเทโพ
มีสวนผลไม้
และป่าไผ่ตามธรรมชาติ
เรือนแพที่อยู่สองฝั่งแม่น้ำเป็นเรือนไม้สร้างคร่อมบนแพลูกบวบไม้ไผ่
ชาวแพบอกว่าอยู่แพแล้วสบาย
หน้าร้อนลมเย็น
หน้าหนาวตอนเช้าแดดอุ่น
ชาวเรือนแพเหล่านี้ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำการประมงในช่วงเช้าหลังจากที่ได้ปลามาจะนำมาชำแหละ
เสียบไม้เป็นแผง
ผึ่งให้แห้ง
ย่างรมควันทำเป็นปลาแห้ง
และนำไปขายในตลาด
ตามเรือนแพริมน้ำเหล่านี้ยังมีกระชังเลี้ยงปลาสวาย
ปลาแรด
และปลาเทโพบ้างเล็กน้อย
ปกติปลาแรดที่เลี้ยงในกระชังจะไม่คาวเหมือนปลาแรดที่เลี้ยงในบ่อดินอยู่แล้ว
แต่ปลาแรดในกระชังของที่นี่นับว่าขึ้นชื่อมาก
เพราะเนื้อแน่นนุ่มและหวาน
บางคนกล่าวว่า
เป็นเพราะน้ำที่นี่มีการไหลเวียนดีและอาจมีแร่ธาตุบางอย่างอยู่
ปลาแรดจึงมีเนื้อนุ่ม
สภาพความเป็นอยู่ที่สามารถพบเห็นตามสองฝั่งลำน้ำสะแกกรัง
จึงเหมาะสำหรับนั่งเรือชมทิวทัศน์
โดยจะนั่งเรือไปถึง
อำเภอมโนรมย์
จังหวัดชัยนาทก็ได้
โดยจะวนเฉพาะรอบตัวเกาะเทโพ
หรือนักท่องเที่ยวสามารถว่าจ้างเรือจากบริเวณท่าเรือตลาดสดเทศบาลเมืองอุทัยธานี
เรือจะล่องไปมโนรมย์
ใช้เวลาประมาณ ๒
ชั่วโมง
ถ้าล่องเรือในช่วงเย็น
คือประมาณ ๑๖.๐๐-๑๘.๐๐
น.
จะได้เห็นพระอาทิตย์ตกซึ่งสวยงามมาก
และในช่วงเดือนธันวาคม-มกราคม
จะเห็นยอดักปลาเต็มไปหมด
บางครั้งอาจได้เห็นชาวบ้านพายเรือมาเก็บผักตบชวา
เพื่อนำใบไปรองเข่งปลา
หรือจะนำไปเลี้ยงหมูก็ได้
เรือล่องแม่น้ำสะแกกรัง
หากเป็นเรือเล็กจุได้ประมาณ
๑๐-๑๒ คน
ล่องเรือไปถึงวัดท่าซุงราคาประมาณ
๑,๐๐๐ บาท
หากไปถึงมโนรมย์
ประมาณ ๑,๕๐๐
บาท ไปถึงวัดท่าซุง
ติดต่อที่ บ้านเลขที่
๑๑๓ คลองสะแกกรัง
หรือติดต่อที่บริเวณตลาดเทศบาล
๑
ตรงสะพานข้ามฟากไปวัดอุโบสถาราม
ในช่วงเวลาตลาดตอนเช้า
โดยสอบถามได้จากแม่ค้าในบริเวณนั้น
หรือที่ร้านราดหน้าในอาคารตลาดเทศบาล
ซึ่งเปิดตั้งแต่ประมาณ
๗
โมงเช้าถึงเที่ยงคืน
|
เกาะเทโพ
เกาะเทโพ
เดิมเป็นแหลมยื่นออกมาคั่นระหว่างแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำสะแกกรัง
แม่น้ำทั้งสองสายจะมาบรรจบกันทางทิศใต้ของแหลม
และมีการขุดคลองเชื่อมทางเหนือในภายหลัง
เพื่อให้แม่น้ำเจ้าพระยามาหนุนแม่น้ำสะแกกรังในยามน้ำแล้ง
แหลมนี้จึงกลายเป็นเกาะเทโพ
ที่เกาะเทโพนี้เป็นจุดที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ชอบปั่นจักรยานท่องเที่ยว
หลังจากข้ามสะพานที่เชื่อมต่อระหว่างตลาดสดเทศบาลและวัดอุโบสถาราม
ซึ่งไม่ยาวนักและขนาดเล็กเพียงรถมอเตอร์ไซค์สวนกันได้
ก็นับเป็นการเริ่มต้นการเดินทางบนเกาะเทโพ
บรรยากาศสองข้างจะเป็นป่าไผ่
ไร่ข้าวโพด
และทุ่งนาให้บรรยากาศที่สงบร่มรื่น
ชาวบ้านที่นี่ทำสวนส้มโอ
มีทั้งพันธุ์มโนรมย์
และขาวแตงกวา
และยังปลูกมะไฟด้วย
เมื่อผ่านบ้านท่าดินแดงจะเห็นเสื่อลำแพนวางขายอยู่
ชาวบ้านใช้ต้นไผ่ที่มีอยู่หนาแน่นในพื้นที่นำมาสานเสื่อ
และวางขายกันที่หน้าบ้าน
ไม่ได้ส่งตลาด
หากเดินทางต่อไปถึงวัดภูมิธรรม
ก็จะมีศาลาให้นั่งพักตากลมได้
บรรยากาศในวัดเงียบสงบ
เมื่อปั่นจักรยานครบรอบเส้นทางที่กำหนดไว้ก็จะถึงท่าเรือที่จะข้ามไปวัดท่าซุงได้
รวมระยะทางปั่นจักรยานบนเกาะทั้งหมด
๓๓ กิโลเมตร
|
วัดอุโบสถาราม
วัดอุโบสถาราม
เดิมชื่อวัดโบสถ์มโนรมย์
ชาวบ้านเรียกว่าวัดโบสถ์
เป็นวัดเก่าแก่อยู่ริมลำน้ำสะแกกรังในเขตเทศบาลเมือง
จากตลาดสดเทศบาล
มีสะพานข้ามแม่น้ำไปยังวัดอุโบสถาราม
ซึ่งตั้งอยู่บนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำ
สิ่งที่น่าสนใจในวัดได้แก่
จิตรกรรมฝาผนังในโบสถ์และวิหาร
เป็นภาพเขียนสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
ในโบสถ์เป็นภาพเกี่ยวกับพุทธประวัติเริ่มตั้งแต่ประสูติจนถึงปรินิพพานฝีมือประณีตมาก
ส่วนในวิหารเขียนเป็นภาพพระพุทธเจ้าเสด็จโปรดเทพยดาบนสวรรค์และภาพปลงสังขาร
ด้านบนฝาผนังเป็นพระสงฆ์สาวกชุมนุมสลับกับพัดยศเหมือนจะไหว้พระประธานในวิหาร
ฝาผนังด้านนอกหน้าวิหารมีภาพถวายพระเพลิงศพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและภาพชีวิตชาวบ้านที่เกี่ยวกับพุทธศาสนา
เข้าใจว่าเป็นฝีมือชั้นหลัง
นอกจากนี้ภายในวัดอุโบสถาราม
ยังมีสิ่งของที่น่าชมอีกมาก
เช่น
เสมาหินสีแดงหน้าโบสถ์
ตู้พระธรรมและตู้ใส่ของเขียนลายกนกเถาลายดอกไม้
บาตรฝาประดับมุกที่ได้รับพระราชทานจากรัชกาลที่
๕
เป็นฝีมือช่างสิบหมู่
และหงส์ยอดเสา
เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีอาคารสถาปัตยกรรมเก่าแก่ที่น่าชมหลายหลัง
ได้แก่
มณฑปแปดเหลี่ยม
ที่มีลักษณะผสมแบบตะวันตก
มีลายปูนปั้นคล้ายไม้เลื้อยที่กรอบหน้าต่าง
และมีพระพุทธรูปปูนสลักนูนสูงอยู่ที่ด้านนอกของอาคาร
เจดีย์หกเหลี่ยม
ย่อมุมไม้สิบสองทรงรัตนโกสินทร์
หอประชุมอุทัยพุทธสภา
ซึ่งเป็นหอสวดมนต์
เป็นศาลาทรงไทย
หน้าบันประดับลวดลายปูนปั้น
และแพโบสถ์น้ำซึ่งใช้ในการประกอบพิธีทางศาสนา
เช่น งานบวช งานศพ
เป็นต้น
วัดจันทาราม (วัดท่าซุง)
เดิมเป็นวัดที่สร้างในสมัยอยุธยา
มีโบสถ์ขนาดเล็ก
ภายในมีจิตรกรรมฝาผนังฝีมือช่างพื้นบ้านเข้าใจว่าเขียนในสมัยหลังเป็นเรื่องพุทธประวัติ
บางภาพต่อเติมจนผิดส่วน
สมบัติอีกชิ้นหนึ่งของวัดคือ
ธรรมาสน์ที่หลวงพ่อใหญ่สร้าง
ที่วิหารมีพระปูนปั้นฝีมือพองามและมีลายไม้จำหลักขอบหน้าบันเหลืออยู่
๒-๓ แห่ง
ด้านตรงข้ามกับวัดเป็นปูชนียสถานแห่งใหม่
มีบริเวณกว้างขวางมาก
พระราชมหาวีระ ถาวาโร
(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
พระเถระที่มีชื่อเสียงได้สร้างอาคารต่างๆ
มากมาย เช่น
พระอุโบสถใหม่
ภายในประดับและตกแต่งอย่างวิจิตร
บานหน้าต่างและประตูด้านในเขียนภาพเทวดาโดยจิตรกรฝีมือดี
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินมาตัดลูกนิมิตพระอุโบสถแห่งนี้
บริเวณโดยรอบสร้างกำแพงแก้วและมีรูปหล่อหลวงพ่อปาน
และหลวงพ่อใหญ่ขนาด ๓
เท่า
อยู่มุมกำแพงด้านหน้า
มณฑป และ พระวิหาร
ที่ประดิษฐานพระพุทธชินราชจำลอง
และศพของหลวงพ่อฤาษีลิงดำที่ไม่เน่าเปื่อย
อาคารเหล่านี้ส่วนใหญ่จะมีลักษณะภายนอกที่คล้ายคลึงกันคือสร้างด้วยโมเสกสีขาวใสดูเหมือนแก้ว
นอกจากนี้ยังมียังมีศาลาอยู่หลายหลังสำหรับใช้เป็นสถานที่ฝึกสมาธิและมีที่พักให้ด้วย
อาคารแต่ละหลังจะมีเวลาเปิด-ปิดไม่ตรงกันและปิดช่วงกลางวัน
โดยอาคารแต่ละหลังจะทยอยเปิดตั้งแต่เวลา
๑๐.๓๐ น.
และจะเปิดให้ชมโดยพร้อมเพรียงกันอีกครั้งตั้งแต่เวลา
๑๔.๐๐ น. เป็นต้นไป
การเดินทาง
วัดท่าซุง
ตั้งอยู่ที่หมู่ ๒
ตำบลน้ำซึม
สามารถเดินทางไปได้หลายวิธี
๑)ไปตามทางสาย
๓๒๖๕
มุ่งตรงไปทางแพข้ามฟากอำเภอมโนรมย์
ประมาณ ๑๒ กิโลเมตร
๒)รถโดยสารสายอุทัยฯ-ท่าซุง(สองแถวสีฟ้า)
ค่าโดยสาร ๘ บาท
จากวัดท่าซุงต่อไปอีก
๕ บาท
จะถึงท่าเรือข้ามไปอำเภอมโนรมย์
|
พระแสงดาบศัสตราวุธประจำเมืองอุทัยธานี
พระแสงดาบศัสตราวุธประจำเมืองอุทัยธานี
สมัยรัชกาลที่
๕
เป็นพระแสงดาบที่จังหวัดอุทัยธานีได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ครั้งเสด็จพระราชดำเนินประพาสหัวเมืองฝ่ายเหนือถึงเมืองอุทัยธานี
เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๙
พระแสงดาบนี้พระราชทานแก่จังหวัดอุทัยธานีเป็นลำดับที่
๓ (อันดับ ๑
เมืองอยุธยา อันดับ ๒
เมืองชัยนาท)
พระแสงดาบศัสตราวุธ
เป็นดาบไทยทำด้วยเหล็กสีขาวอย่างดี
ปลายแหลม คมด้านเดียว
มีน้ำหนักเบา
สันเป็นลาย
ฝังงาในเนื้อเหล็กรูปดอกไม้ร่วง
และริมสันทั้งสองข้างมีลายทองเป็นรูปก้านขด
โคนตรงกลางมีจารึกนามอักษร
พระแสงสำหรับเมืองอุไทยธานี
ด้ามพระแสงทำด้วยไม้เนื้อแข็งหุ้มทองลงยา
โคนเป็นลายกนกตาอ้อย
ปลายด้ามเป็นรูปจุฑามณีบัวคว่ำ
๓ ชั้น
ประดับด้วยพลอย
ต้นฝักพระแสงทำด้วยทองคำเป็นรูปรักร้อยประดับพลอย
มีกาบกนกหุ้มต้นฝักทำด้วยทองคำเป็นลายก้านขด
ช่อดอกแกมใบประดับพลอย
ตัวฝักพระแสงทำด้วยทองคำดุน
ฝักทั้งสองข้างมีลวดลายต่างๆ
สวยงามมาก
นับเป็นศิลปกรรมฝีมือเยี่ยมแห่งกรุงรัตนโกสินทร์และเป็นพระแสงดาบสำคัญประจำเมืองอุทัยธานี
ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่คลังจังหวัดอุทัยธานี
จะนำออกให้ชมเฉพาะในงานพระราชพิธีเท่านั้น
|
|
รวม
โรงแรม รีสอร์ท
ที่พักทั่วไทย
หาที่ไหนไม่เจอ
ที่นี่เจอ คลิก |